ดอกเบี้ยต่ำเกินไป! ส่อขยับขึ้นอีก ซ้ำเติมตลาดหุ้นไทย ลดแรงดึงดูดเงินต่างชาติ
เฟดคงดอกเบี้ยนโยบาย ครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี แต่ยังส่งสัญญาณขึ้นต่อ
SCB EIC คงเป้าจีดีพีไทย โต 3.9% ส่งออกไม่สดใส คาดปีนี้ดอกเบี้ยขึ้นอีก 2 ครั้ง คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน Monetary Policy Forum ครั้งที่ 2/2566 ระบุว่านโยบายการเงินตอนนี้จะยังเหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พร้อมเดินหน้านโยบายการเงินเชิงรุกต่อไป แม้อัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายแล้ว 1-3% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจใจระยะสั้น
ทั้งนี้แต่ในระยะยาวจะเป็นการสะสมความไม่สมดุลในระบบการเงิน จะสุดท้ายอาจเกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจ และอาจสูญเสียเสถียรภาพในระยะยาว ซึ่งจะทำให้เกิดวิกฤตกับธนาคารพาณิชย์
กนง.จึงให้ความสำคัญกับอัตราดอกเบี้ยที่ต้องไม่ให้ต่ำมากเกินไป เพราะทำให้เกิดความสมดุลกับระบบการเงิน และหากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น แม้จะไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจมาก แต่มีความมั่นคงในระยะยาว
โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทย ธปท. ยังมีมุมมองปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัว คาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เติบโต 3.6% และปีหน้า 2567 จะขยายตัวที่ 3.8% จากแรงหนุนภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคเอกชน อย่างไรก็ตาม กนง.ส่งสัญญาณว่ายังสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อีกจากระดับ 2.00% สู่ 2.25% ต่อปี
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส ประเมินว่า หากดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นอีก จะสร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นไทย (SET) ในด้านของ PE ที่ซื้อขายถูกลงจาก 16.67 เท่า เหลืออยู่ที่ 16.00 เท่า และยังกดดันMarket Earning Yield Gap (ผลตอบแทนระหว่างตลาดหุ้นไทยและตราสารหนี้) ให้แคบลงจาก 3.96%สู่ระดับ 3.71%
ซึ่งทั้งหมดนี้จะลดแรงดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติ ที่จะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้ไทย ขณะเดียวกันยังมีแรงกดดันจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของฝั่งธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ เฟด (FED) ทำให้เงินดอลลาร์แข้งค่าขึ้น ซึ่งจะกดดันเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลง จึงถือเป็นการลดแรงจูงใจของนักลงทุนต่างชาติในอนาคตด้วย
ขณะที่เมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.66) ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าซื้อขายเบาบางที่ 3.6 หมื่นล้านบาทต่อวัน มีปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง และดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งยังมีแนวโน้มจะขยับเพิ่มขึ้นอีก จึงทำให้การซื้อขายหุ้นไทยช่วงนี้อยู่ในโหมดเปลี่ยนกลุ่มการลงทุน (Sector Rotation) สะท้อนได้จากกลุ่มหุ้นที่เคยปรับตัวขึ้นมาแรง เริ่มชะลอลง เช่น กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่ม ICT, กลุ่มการแพทย์, กลุ่มยานยนต์ เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่กลับมาเคยซบเซาเริ่มกลับมาคึกคัก เช่น กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มบรรจุภัณฑ์, กลุ่มอาหาร เป็นต้น